ฟิลเลอร์ มีกี่ประเภท

ฟิลเลอร์ มีกี่ประเภท แบบไหนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด?

สารเติมเต็มหรือเรียกอีกอย่างว่า Dermal Filler คือเครี่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA จุดประสงค์เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องบริเวณใบหน้า เช่น ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold) ลดริ้วรอยบริเวณแก้มและริมฝีปาก และรอยเหี่ยวย่นหลังมือ คนส่วนใหญ่อาจจะสับสนว่าการใช้ฟิลเลอร์และโบท็อกซ์เหมือนกัน เพียงเพราะว่าฉีดแล้วริ้วรอยจางหายไป โบท็อกซ์จะเข้าไปหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อ หลังฉีดจึงเห็นเหมือนว่าทำให้ริ้วรอยหายไป ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กล้ามเนื้อไม่ได้ทำงาน จึงมองไม่เห็นว่ามีริ้วรอย ส่วนฟิลเลอร์คือสารเติมเต็ม ทำหน้าที่ขยายและทำให้บริเวณที่ถูกฉีดดูเต็มขึ้น เช่น การฉีดปากบางให้ดูหนาขึ้น การฉีดให้คิ้วดูยกขึ้น ลดร่องลึกที่บริเวณร่องแก้ม เพิ่มขนาดโหนกแก้มให้ใบหน้าดูมีมิติ ในกรณีที่ตาดูคล้ำเพราะร่องลึกรอบดวงตาฟิลเลอร์ก็สามารถแก้ไขได้ การฉีดฟิลเลอร์นั้นใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง และมีผลข้างเคียงน้อยมากจนถึงไม่มีเลย คนไข้บางคนอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น มีรอยช้ำเล็กๆ อาการบวมหรือรอยแดง เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวไม่นานก็จะหายไป กรณีที่พบได้น้อยคือคนไข้จะมีอาการแพ้ต่อสารฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป แต่อาการแพ้ก็จะเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เทียบกับผลลัพธ์ที่ได้นานหลายเดือนไปจนถึง 1 ปีครึ่ง

สารที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะอยู่ได้ชั่วคราวเนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ และจนถึงตอนนี้มีสารฟิลเลอร์เพียงชนิดเดียวที่ร่างกายดูดซึมไม่ได้ที่ FDA ให้การรับรอง นอกเหนือจากนี้ยังมีฟิลเลอร์บางชนิดที่ผสมยาชาเฉพาะที่ลิโดเคน (Lidocaine) ที่ช่วยลดความเจ็บขณะฉีดหรือลดความรู้สึกระคายเคืองเมื่อฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย

ฟิลเลอร์มีหลากหลายประเภทต่างกันที่ส่วนประกอบ และมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้ยังไงให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง แบ่งหลักๆ แล้วคือ ฟิลเลอร์ที่ร่างกายดูดซึมได้ และฟิลเลอร์ที่ร่างกายดูดซึมไม่ได้ ดังนี้

สารฟิลเลอร์ที่ร่างกายดูดซึมได้

คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย ที่มีหน้าที่ช่วยเสริมความแข็งแรง ความยืดหยุ่นแก่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แหล่งคอลลาเจนบริสุทธิ์ที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์คือ คอลลาเจนจากสัตว์ เช่น คอลลาเจนจากวัวหรือโบวีน (Bovine) คอลลาเจนจากหมูหรือพอร์ซีน (Porcine) อีกประเภทหนึ่งคือแหล่งคอลลาเจนที่มาจากเซลล์ของมนุษย์ ฟิลเลอร์คอลลาเจนเมื่อฉีดแล้วจะอยู่ได้นาน 3-4 เดือน สั้นที่สุดเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ประเภทอื่น และต้องมีการทดสอบการแพ้โปรตีนก่อนทำการฉีดด้วยทุกครั้ง

  • EVOLENCE คือคอลลาเจนฟิลเลอร์บริสุทธิ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ มีสีค่อนข้างเหลืองและขุ่น ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ฉีดบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ช่วยเติมเต็มให้ริ้วรอยและร่องแก้มร่องจมูกตื้นขึ้น ผลอยู่ได้นานถึง 12 เดือน (ตามคำอ้างอิงของทางบริษัท) ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 500 USD หรือประมาณ 18,000 บาท ต่อ 1 ไซริงค์
  • กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid หรือ HA) คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง เรียกว่าโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อน เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจล ทำให้ฟิลเลอร์ชนิดนี้ให้ผลที่เรียบเนียบและเติมเต็ม กรดไฮยาลูรอนิคมาจากแบคทีเรียหรือสกัดจากหงอนไก่ (Rooster Combs) และอาจเติมสารเชื่อมพันธะเพื่อให้อยู่ในร่างกายได้นานขึ้น 6-12 เดือน
    — Juvéderm คือแบรนด์ระดับโลกอีกแบรนด์หนึ่งที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง การทำงานของฟิลเลอร์คือการดูดซับน้ำในบริเวณที่ฉีด ได้ผลดีกับร่องลึกปานกลางจนถึงลึกมาก อย่างร่องแก้มร่องจมูก ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังสามารถฉีดแก้ไขริมฝีปากบางให้ดูหนาอวบอิ่มขึ้น เพิ่มความหนาบริเวณติ่งหูและโหนกแก้ม ฉีดหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้นได้ ผลอยู่ได้นาน 6-9 เดือน (ตามคำอ้างอิงของทางบริษัท) ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 450-600 USD หรือประมาณ 16,000-21000 บาท ต่อ 1 ไซริงค์ การแก้ไขหากฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ถูกใจคือ ฉีด Hyaluronidase เข้าไปสลายฟิลเลอร์ในชั้นผิวหนังแท้
    –Restylane / Restylane-L ลักษณะการทำงานและราคาใกล้เคียงกับแบรนด์ Juvéderm คือฟิลเลอร์จะดูดซับน้ำในบริเวณที่ฉีดแล้วพองตัวเพื่อเติมเต็มบริเวณที่ต้องการ ผลอยู่ได้นาน 18 เดือน (ตามคำอ้างอิงของทางบริษัท) แต่ควรฉีดซ้ำทุก 4.5 เดือนหรือทุก 9 เดือน หากไม่ฉีดซ้ำจะอยู่ได้เพียง 6 เดือน
    –Perlane ผลิตโรงงานเดียวกันและราคาพอๆ กันกับ Restylane แต่ใช้เพื่อหวังผลที่มากกว่า เหมาะสำหรับร่อง ริ้วรอย หลุมสิว ที่ลึกมากๆ ต้องการการเติมเต็มมากกว่า แม้จะมีบางคนบอกว่า ฉีดPerlane แล้วอยู่ได้นานกว่า Restylane แต่ FDA ก็รับรองผลแค่ 6 เดือนเท่านั้น
  • แคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Calcium Hydroxyapatite หรือ CaHA) คือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในกระดูกและฟันของมนุษย์ ฟิลเลอร์ชนิดนี้สามารถฃฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาบนใบหน้าและมือได้ เนื่องจากอนุภาคของ CaHA จะเข้าไประงับปัญหาริ้วรอย โดยเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนเนื้อเจลชั่วคราว ผลอยู่ได้นาน 18 เดือนและเมื่อ CaHA เข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว จะทำให้ผล X-rays ดูคลุมเครือ จึงต้องแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันการอ่านผล X-rays ที่ผิดพลาด
  • Radiesse จะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ได้ผลระยะยาวกว่าเดิม ทำให้ไม่ต้องฉีดเติมบ่อยครั้ง ช่วยเติมเต็มในความต้องการระดับปานกลาง สำหรับริ้วรอยและร่องลึก สามารถใช้เติมเต็มบริเวณโหนกแก้มได้ แต่ไม่สามารถใช้ได้กับการเติมบริเวณริมฝีปาก ผลอยู่ได้นาน 1 ปี หรือมากกว่านั้น (ตามคำอ้างอิงของทางบริษัท) ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 USD หรือประมาณ 35,000 บาท ต่อ 1 ไซริงค์
  • โพลี่ แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid หรือ PLLA) คือสารอุ้มน้ำที่มีความเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อในร่างกายและสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ PLLA ถูกใช้ในการแพทย์อย่างแพร่หลาย เช่น ไหมละลายและตะปูเกลียวยึดกระดูก ผลจะอยู่ได้ถึง 2 ปี เป็นฟิลเลอร์ที่ได้ผลนานที่สุดในประเภทของฟิลเลอร์ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้
  • Sculptra ส่วนใหญ่แล้วจะฉีดให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรค HIV เนื่องจากการสูญเสียไขมันบนใบหน้าซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการได้รับยาต้านไวรัส แต่ในปัจจุบันนี้ได้รับการรับรองเพื่อใช้เพื่อหวังผลด้านความงาม อย่างการฉีดเติมเต็มแก้มที่ตอบ ฉีดริ้วรอยและร่องลึกต่างๆ บนใบหน้า แต่ไม่สามารถใช้บริเวณริมฝีปากได้ การทำงานของ Sculptra จะไม่เหมือนกับสารฟิลเลอร์อื่น เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นผลลัพธ์จะไม่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ใช้เวลาหลังจากการฉีดประมาณ 4 อาทิตย์เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับปริมาณการฉีดที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน สภาพอายุผิวหน้า และความหนาแน่นของคอลลาเจนบริเวณนั้น หลังจากฉีดครั้งแรกผลจะอยู่ได้ถึง 2 ปี (ตามคำอ้างอิงของทางบริษัท) และจะได้ผลมากที่สุดเมื่อฉีดต่อเนื่อง 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4-6 สัปดาห์ Sculptra จะบรรจุอยู่ในขวดแก้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 750-1,000 USD หรือประมาณ 27,000-35,000 บาท ต่อ 1 ขวด
  • ไขมัน (Fat Filler/Grafting) หากจะพูดถึงการศัลยกรรม การรักษาแบบหนึ่งซึ่งมีมาอย่างยาวนานคงหนีไปพ้นการฉีดหรือเติมเต็มด้วยไขมัน แต่ข้อเสียของขั้นตอนนี้คือเมื่อผ่านไป 1 ปี ร่างกายจะดูดซึมไขมันที่ฉีดเข้าไป ทำให้ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร
    ไขมันใหม่ของร่างกายนั้นต้องการเลือดจากที่อยู่ใหม่ เพื่อมาหล่อเลี้ยงให้คงสภาพได้นานขึ้น แต่หากฉีดครั้งละมากๆ ในบริเวณที่กว้างเกิดไป เลือดจะไม่พอเลี้ยงไขมันแม้จะรักษาด้วยเครื่องมือและเทคนิคที่ดีแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้จึงได้มีการคิดค้นเทคนิคพิเศษเพื่อมาแก้ปัญหานี้โดยการฉีดเข้าไขมันเข้าไปทีละน้อย (Microinject) ครั้งละน้อยกว่า 0.1 ซีซี สร้างชั้นไขมันที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิงสำหรับโครงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ใต้ชั้นผิวหนัง
    หลอดเลือดจะสร้างขึ้นใหม่บริเวณช่องว่างระหว่างชั้นไขมันที่ฉีดเข้าไปใหม่ และไขมันจะดูดซึมเลือดบริเวณนี้เพื่อไปหล่อเลี้ยงให้คงสภาพเดิมไว้ได้ หากการไม่มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Neovascularization) จะทำให้การฉีดไม่ได้ผล เมื่อไขมันมีการดูดซึมเลือดใหม่เพียงพอ แม้การรักษาในครั้งแรกจะไม่ประสบความสำเร็ว แต่การรักษาอย่างต่อเนื่องครั้งต่อๆ ไป จะทำได้ง่ายขึ้นและให้ผลที่ดีขึ้นจากการรักษาในครั้งแรก ซึ่งกระบวนการนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนมาโดยตรงและเครื่องมือผ่าตัดที่ทำมาโดยเฉพาะ เมื่อการรักษาสำเร็จตามขั้นตอนและกระบวนการ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ถาวรและเห็นได้อย่างชัดเจน

สารฟิลเลอร์ที่ร่างกายดูดซึมไม่ได้

  • โพลีเมธิลเมธาไครเลต บีทส์ (Polymethylmethacrylate beats หรือ PMMA microspheres) คือพลาสติกสังเคราะห์ ที่มีความเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ เป็นวัสดุสำหรับผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ อย่างซีเมนต์กระดูก (Bone Cement) และเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens หรือ IOL) เม็ด PMMA มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเรียบและมีขนาดที่เล็กมาก และร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ จะถูกทำให้เป็นเนื้อเจลด้วยการผสมกับคอลลาเจนวัว (Bovine collagen) ก่อนที่จะฉีดเข้าผิวหน้า
  • Bellafill (หรือ ArteFill) สามารถฉีดเพื่อเสริมจมูกและร่องแก้มได้ เป็นการรักษาที่เห็นผลถาวร เพราะไม่มีการดูดซึมหรือสลายไป ที่สำคัญที่สุดคือปลอดภัยสำหรับการฉีดฟิลเลอร์เพื่อช่วยให้ผิวหน้าดูเติมเต็มในจุดที่ต้องการ สามารถใช้เพื่อเติมเต็มหลุมสิวและแก้มในคนไข้ที่อายุมากกว่า 21 ปี ได้ คอลลาเจนใน Bellafill จะช่วยให้ผลลัพธ์เห็นได้ทันที่ที่ฉีดเข้าไป และเมื่อผ่านไปคอลลาเจนจะถูกดูดซึมเข้าในร่างกายแต่ PMMA จะยังอยู่ที่เดิม แม้จะไม่ถูกดูดซึมแต่ผลจะลดลงหลังจากเข้าปีที่ 5 เป็นต้นไปในกรณีที่เติมเต็มร่องแก้ม และ 12 เดือนหากฉีดเติมเต็มหลุมสิว แต่ข้อเสียคือการเอาออกหรือฉีดให้สลายไม่สามารถทำได้ การเอาออกเพียงทางเดียวคือต้องตัดเนื้อเยื่อบริเวณนั้นออกไป

ทั้งนี้การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะกับตัวมีปัจจัยในการตัดสินใจหลัก เช่น งบประมาณค่าใช้จ่าย ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ความพอใจและโครงหน้าของคนไข้ สภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป (ผิวคล้ำเสียจากการถูกแดดเผาหรือไม่ ผิวยังมีความยืดหยุ่นอยู่แค่ไหน)

เพราะฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคนๆ นึง อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนก็ได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ เพื่อรับการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับตัวเอง