กำจัดไฝและขี้แมลงวัน จุดด่างบนร่างกายที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ลองสำรวจตัวเราดูว่าในร่างกายของเรานั้นมี  “ไฝ”  หรือ “ขี้แมลงวัน”  อยู่ตรงไหนกันบ้าง ต้องใช้วิธี  กำจัดไฝและขี้แมลงวัน ออก หลายคนอาจไม่ชอบใจนักที่มีไฝหรือขี้แมลงวันปรากฏอยู่บนผิวของตัวเอง  เพราะถือเป็นตำหนิบนร่างกายที่บั่นทอนความมั่นใจของคนที่รักสวยรักงามเป็นอย่างมาก  หรือบางคนที่มีความเชื่อโหวงเฮ้งก็อาจรู้สึกไม่ดีถ้าไฝหรือขี้แมลงวันนั้นไปอยู่ในบริเวณที่ไม่เป็นมงคลกับตัวเอง  และที่แย่ยิ่งกว่าคือ  ไฝและขี้แมลงวันนั้นมีโอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งที่จะมาทำอันตรายต่อชีวิตของเราได้เลยทีเดียว

แล้วทราบกันหรือไม่ว่าไฝหรือขี้แมลงวันคืออะไร  เกิดขึ้นมาได้อย่างไร  และมีผลกระทบต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้างหากปล่อยทิ้งเอาไว้

ไฝ  (Mole) และ ขี้แมลงวัน (Fleck) เป็นความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte)  ซึ่งเป็นเซลล์ผิวหนังที่พบได้ในชั้นของหนังกำพร้า  (Epidermis)  ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีเมลานินให้กับผิว  เซลล์สร้างเม็ดสีผิวจึงเป็นตัวกำหนดว่าใครจะมีผิวขาวหรือผิวคล้ำ

หากเซลล์สร้างเม็ดสีเกิดการเพิ่มจำนวนมากขึ้น  ก็จะกลายเป็นตุ่มเนื้อที่มีสีต่างๆ กันไป  ตั้งแต่สีออกน้ำตาลไปจนถึงสีน้ำตาลดำ  โดยไฝนั้นจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน  ส่วนขี้แมลงวันนั้นจะเป็นตุ่มราบและอยู่ในระดับตื้นกว่าไฝ

ในทางการแพทย์ถือว่าไฝและขี้แมลงวันนั้นเป็นเนื้องอกชนิดหนึ่ง  โดยจะมีการเพิ่มจำนวนขึ้นตามอายุ  โดยจะพบได้มากเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น  รวมไปถึงสตรีที่เริ่มตั้งครรภ์ก็จะพบได้มากเช่นกัน  อย่างไรก็ตามไฝและขี้แมลงวันนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง  (Melanoma)  ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตได้  จึงต้องขึ้นอยู่กับการดูแลและเฝ้าสังเกตไฝและขี้แมลงวันที่อยู่บนร่างกายของเราอยู่เสมอ

บางคนอาจเกิดความสงสัยว่า  “ไฝหรือขี้แมลงวันที่เราเห็นเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ นั้นสามารถกลายเป็นมะเร็งผิวหนังที่คร่าชีวิตเราได้อย่างไร?” 

ไฝและขี้แมลงวันที่อยู่บนตัวเรานั้นมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้หากได้รับการกระตุ้นจากสิ่งต่างๆ  เช่น  สัมผัสกับแสงแดดในปริมาณมาก  ได้รับสารเคมีเป็นเวลานานจนเกิดการสะสม  เราจึงควรรู้จักสังเกตไฝและขี้แมลงวันบนตัวเราว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง  เพราะมีความเป็นไปได้ว่าไฝหรือขี้แมลงวันนั้นอาจเริ่มกลายเป็นเซลล์มะเร็ง  ตัวอย่างเช่น

–          มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้น

–          มีสีที่เข้มมาก  หรือสีไม่สม่ำเสมอ  หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีไปจากเดิม

–          มีผิวขรุขระ  ขอบเขตไม่ชัดเจน  หรือบริเวณตรงกลางของไฝนั้นมีลักษณะหนานูน  แต่ด้านข้างกลับเป็นรอยบุ๋ม

–          มีไฝขนาดเล็กกระจายขึ้นโดยรอบไฝเม็ดใหญ่

–          มีอาการเจ็บ  ปวดบวมเมื่อสัมผัส  ระคายเคือง  หรือมีเลือดออกจากไฝหรือขี้แมลงวันนั้น

ซึ่งหากเราสังเกตว่ามีความผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้นกับไฝและขี้แมลงวันของเรานั้น  ควรรียไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยทันที  เพราะอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้นั่นเอง

การกำจัดไฝและขี้แมลงวันที่นิยมในปัจจุบัน

            การกำจัดไฝและขี้แมลงวันในปัจจุบันนั้นมักเป็นในแง่ของความสวยงามเป็นส่วนใหญ่  เพื่อให้สามารถอวดรูปร่างที่ไร้ตำหนิได้อย่างมั่นใจ  หรือบางคนก็เลือกจะกำจัดไฝและขี้แมลงวันออกเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้โหงวเฮ้งตัวเองดีขึ้น  หลายคนพยายามกำจัดไฝและขี้แมลงวันด้วยหลากหลายวิธี  เช่น  การใช้ปูนแดงที่มีฤทธิ์เป็นกรดทาเพื่อกัดให้ผิวบริเวณที่เป็นไฝหรือขี้แมลงวันหลุด  หรืออาจไปซื้อครีมกำจัดไฝที่วางขายทั่วไปตามข้างทางมาใช้เอง  ซึ่งวิธีการตามที่กล่าวมานั้นไม่อาจรับรองได้ว่าจะได้ผลหรือไม่  และตรางกันข้างก็อาจส่งผลเสียต่อผู้ที่ใช้วิธีนี้เอง  เช่น  การใช้กรดหรือปูนแดงนั้นหากกัดไฝออกได้จริง  แต่ก็ทำผิวหนังโดยรอบถูกกัดกร่อนจนผิวได้รับความเสียหายและกลายเป็นแผลเป็นได้

            ปัจจุบันมีรูปแบบการกำจัดไฝและขี้แมลงวันที่อาศัยเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า  เพื่อให้มีความปลอดภัยและได้เผลมากขึ้น  ซึ่งวิธีการกำจัดไฝและขี้แมลงวันในปัจจุบันนั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะ  ขนาด  รวมถึงตำแหน่งที่ไฝหรือขี้แมลงวันนั้นเกิดขึ้นด้วย   ตัวอย่างวิธีการที่น่าสนใจ  เช่น

          1. การแต้มกรด  เป็นการกำจัดไฝและขี้แมลงวันที่มีขนาดเล็กโดยการใช้กรดจำพวก TCA (Trichloroacetic Acid) ที่มีความเข้มข้นสูง  กรดตัวนี้จะทำปฏิกิริยากับไฝหรือขี้แมลงวันทำให้เกิดการกัดกร่อนและหลุดออก  แต่ควรอยู่ในการดูแลและทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น  เพราะหากทำโดยขาดชำนาญ  กรดอาจมีปริมาณมากเกินไปทำให้ผิวหนังเกิดเป็นแผลโดยไม่จำเป็น

          2. การใช้แสงเลเซอร์  เป็นการใช้เลเซอร์เพื่อตัดไฝและขี้แมลงวันออกไป  ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยจากนั้นจะทายาชาในบริเวณที่จะทำก่อนเป็นเวลาประมาณ 45 นาที  เพื่อป้องกันความเจ็บปวด  แล้วจึงใช้แสงเลเซอร์ตัดไฝหรือขี้แมลงวันออกไป

            จุดเด่นของการใช้แสงเลเซอร์นั้น  คือ  เสียเลือดน้อย  หรือในบางรายนั้นก็จะไม่มีเลือดออกมาเลย  และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการกำจัดไฝที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดไม่ใหญ่มาก   หรือกำจัดขี้แมลงวันขนาดเล็กที่เกิดกระจายทั่วไป  แต่ไม่เหมาะสำหรับไฝและขี้แมลงวันที่มีขนาดใหญ่และมีเส้นขนขึ้น  เพราะทำได้ยาก  ใช้เวลานานเกินไป  และการทำเลเซอร์นั้นยังไม่เหมาะที่จะทำในบริเวณที่ผิวมีความอ่อนโยน  เช่น  บริเวณรอบดวงตา

          3. การจี้ไฟฟ้า  เป็นการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า  (Electrocautery)  ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นบริเวณที่เป็นไฝหรือขี้แมลงวัน  ทำให้บริเวณที่ทำเกิดอุณหภูมิสูง  น้ำที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์ในบริเวณนั้นจะเดือดและแห้ง  ก่อนจะถูกทำลายไปในที่สุด  ซึ่งการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้านั้นจะต้องตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับลักษณะของไฝหรือขี้แมลงวันนั้นก่อน  เพราะหากตั้งค่าพลังงานสูงเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดรอยไหม้ได้

            4. การผ่าตัด  เป็นการกำจัดไฝที่มีขนาดใหญ่  มีรากลึกลงไปใต้ผิวหนัง หรืออยู่ในบริเวณที่ค่อนข้างอันตราย   โดยแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะจุด  จากนั้นจะทำการผ่าตัดเพื่อเอาไฝออก  กระบวนการนี้จะใช้เวลานานกว่าการทำเลเซอร์  คือ  ประมาณ  30-45 นาที

แต่ทั้งนี้ไฝหรือขี้แมลงวันที่มีขนาดใหญ่  มีรากลึกมากๆ แม้จะกำจัดออกไปแล้ว  แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำได้อีก  เราจึงควรหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบริเวณที่เรากำจัดไฝหรือขี้แมลงวันออกไปเสมอ  เพราะในบางรายนั้นอาจต้องใช้เวลาและจำนวนในการกำจัดอีกหลายครั้ง

สำหรับคนที่ไปกำจัดไฝหรือขี้แมลงวันมาแล้ว  สิ่งสำคัญที่ควรจำให้ขึ้นใจคือ  ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด  และควรดูแลแผลหลังการทำให้แห้ง  สะอาด  หลีกเลี่ยงความชื้นและสิ่งสกปรกที่เป็นสาเหตุสำคัญของอาการอักเสบ  และหมั่นตรวจดูบริเวณที่เรากำจัดไฝหรือขี้แมลงวันออกตามที่ได้กล่าวข้างต้นด้วย

 

ข้อมูลอ้างอิง

– “รู้จักไฝ  หูด  ติ่งเนื้อ  และขี้แมลงวัน”  โรงพยาบาลนครธน  http://www.nakornthon.com/surgical/knowledge.php?id=164&page=

– “ไฝ…มาจากไหน”  นายแพทย์ประวิตร  วิศาลบุตร  นิตยสารหมอชาวบ้าน  http://www.doctor.or.th/ask/detail/2052

– “มะเร็งผิวหนัง”  สถาบันโรคผิวหนัง  กรมการแพทย์  กระทรวงสาธารณสุข  http://www.inderm.go.th/inderm_th/Health/health_17.html