ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก   และมีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก  ทั้งการให้แสงสว่าง  ให้ความอบอุ่น  ยังทำให้เกิดวัฎจักรต่างๆ บนโลก  เช่น  กลางวันกลางคืน  ฤดูกาลต่างๆ และนอกจากนี้แสงแดดที่มาจากดวงอาทิตย์ยังเป็นส่วนในการสร้างวิตามิน D ให้กับเราได้อีกด้วย

แต่ในประโยชน์ที่มีอยู่มากมายของแสงแดด  ก็ยังมีโทษของแสงแดดที่เราต้องเรียนรู้ควบคู่กันไปด้วย  โดยเฉพาะโทษที่มีต่อผิวหนังของเรา  เพราะการสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลเสียต่างๆ มากมาย  เช่น  ผิวเกิดรอยหมองคล้ำ  ฝ้า  กระ  หรืออาจรุนแรงจนผิวไหม้  ในบางรายอาจสะสมลุกลามจนนำไปสู่การเป็นมะเร็งผิวหนังได้  ดังนั้นการดูแลสุขภาพผิวให้ปลอดภัยจากอันตรายจากแสงแดดจึงเป็นเรื่องสำคัญ

เรียนรู้และเข้าใจแสงแดด : รังสี UV

แสงแดดที่ส่องมายังโลกนั้นจะประกอบด้วยรังสีและแสงหลายชนิด   ที่เรารู้จักดีก็คือ แสงสว่าง (Visible Light) ที่ประกอบด้วยคลื่นแสงสีม่วง  คราม  น้ำเงิน  เขียว  เหลือง  ส้ม  แดง    และยังมีรังสีต่างๆ ที่ตาของเรามองไม่เห็น  เช่น  รังสีเอ๊กซ์  รังสีคอสมิก  รังสีอัลตราไวโอเลต  โดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีผลต่อผิวหนังของเรามาก

รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสี UV  (Ultraviolet : UV) เป็นรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 200-400 นาโนเมตร  แบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน  ดังนี้

  1. รังสี UVA มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 320-360 นาโนเมตร   มีพลังงานต่ำสุดแต่สามารถส่งผ่านรังสีได้ลึกมาก สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโครงสร้างชั้นผิวหนัง   นั่นคือ  หากเรารับรังสี UVA นี้  แม้ในปริมาณน้อยก็สามารถส่งผลกระทบได้ถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เลยทีเดียว  ส่งผลทำให้เม็ดสีเมลานินที่มีสีเข้มซึ่งอยู่ในผิวของเราทำงานมากขึ้น  ทำให้ผิวคล้ำและเกิดรอยหมองคล้ำได้  นอกจากนี้  การรับรังสี UVA สะสมไปในระยะยาวยังเป็นการกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ  ทำให้ความยืดหยุ่นกระชับผิวของเราลดลง  เป็นสาเหตุสำคัญของริ้วรอยก่อนวัยและผิวเหี่ยวย่นได้เช่นกัน
  1. รังสี UVB มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 280-320 นาโนเมตร รังสี UVB สามารถส่งผ่านรังสีทะลุผ่านผิวหนังในชั้นสเตรตัม คอร์เนียม (Stratum corneum) และชั้นอีพิเดอมีส (Epidermis) ทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังของเรา  คือ  เกิดรอยผื่นแดง  แสบผิว  หรือผิวหนังในชั้นนอกเป็นรอยไหม้ได้
  1. รังสี UVC มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 200-280 nm. ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด   จึงมีพลังงานมากที่สุดด้วย   แต่รังสี UVC เกือบทั้งหมดจะถูกชั้นบรรยากาศของโลก  (โอโซน)  กรองไว้ก่อนแล้ว  จึงมีรังสี UVC ในปริมาณน้อยเท่านั้นที่ส่งมายังโลก   แต่ถึงแม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย   รังสี UVC ก็สามารถทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นที่ผิวหนังและทำให้ผิวคล้ำได้

ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าปริมาณรังสี UVC ที่ส่งมายังพื้นโลกน่าจะเพิ่มขึ้น  เป็นผลมาจากการปริมาณชั้นบรรยากาศของโลกที่ลดลง  จึงทำให้สภาพผิวของเรามีโอกาสได้รับอันตรายเพิ่มมากขึ้นไปด้วยนั่นเอ

รู้หรือไม่  ทำไมโดนแดดแล้วผิวจึงดำ??

ในเซลล์ผิวหนังมีกลไกที่ช่วยในการปกป้องผิวของเราให้ปลอดภัย  เราเรียกว่า  “เม็ดสีเมลานิน” (Melanin) ซึ่งเราสัมผัสกับแสงแดดและได้รับรังสี UV ผิวหนังของเราจะทำการส้รางเม็ดสีเมลานินที่มีสีเข้มขึ้นปกคลุมเพื่อป้องกันไม่ให้รังสี UV เข้าไปทำอันตรายในชั้นเซลล์ผิวของเราได้  ยิ่งเราสัมผัสกับแสงแดดมากเท่าไร  เม็ดสีเมลานินก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย  เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโดนแดดแล้วผิวจึงดำ

แต่อย่าเข้าใจผิดว่าการที่เรามีเม็ดสีเมลานินเหล่านี้ปกป้องผิวแล้ว  เราจะสามารถออกไปโดนแดดได้อย่างเต็มที่  เพราะการสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานย่อมทำให้การทำงานของเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นจนอาจเกิดความผิดปกติและกลายเป็นผลเสียต่อผิวในด้านต่างๆ แทน  เช่น  เกิดเป็นฝ้า  กระ  ผิวหนังเกิดเป็นรอยไหม้  จุดด่างดำ  เกิดริ้วรอยก่อนวัย  ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ  เกิดเป็นโรคแพ้แสงแดด  หรือลุกลามสะสมเป็นมะเร็งผิวหนังได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น


ทำความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์กันแดด

การดูแลผิวให้กระจ่างใสโดยไม่ต้องกลัวกับแดดนั้นสามารถทำได้ไม่ยากแล้ว  เพราะในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดผลิตออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก  ทั้งนั้นเราต้องทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้ชัดเจนและเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวและกิจกรรมกลางแดดที่เราจะทำด้วย

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์กันแดดมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด  ดังนี้

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันรังสี UV โดยการดูดซับรังสีไว้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมีสารที่จะเคลือบอยู่บนผิวหนังเพื่อดูดกลืนรังสี UV ไว้ ไม่ให้ทะลุเข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนัง   จากนั้นจึง คายพลังงานออกมาในรูปของรังสีที่ไม่เป็นอันตราย   แต่ผลิตภัณฑ์กันแดดในกลุ่มนี้อาจมีสารบางส่วนที่สามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังและเกิดอาการแพ้ได้  จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนใช้เสมอ  สารที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้  เช่น   แอนทรานิเลต (Anthranilate) เบนโซฟีโนน (Benzophenone) ซินนาเมต (Cinnamate) ซาลิไซเลต (Salicylate)
  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันรังสี UV โดยการสะท้อนรังสีออก ผลิตภัณฑ์สารกลุ่มนี้จะเคลือบอยู่บนผิวหนัง  และสะท้อนหรือกระจายรังสี UV ที่มากระทบกับผิว  สารในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีความปลอดภัยสูง  เกิดโอกาสแพ้ได้น้อย  แต่อาจมีข้อด้อยตรงที่เมื่อทาแล้วจะเป็นปื้นขาว  แลดูไม่เป็นธรรมชาติ  ในปัจจุบันจึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ด้วยการใช้สารที่มีอนุภาคเล็กลง  เพื่อทำให้ไม่เกิดรอยปื้นขาว  และช่วยเพิ่มพื้นที่ในการกระจายหรือสะท้อนรังสี UV ได้อีกด้วย  สารที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้  เช่น   ซิงก์ออกไซด์ (zinc oxide) ไททาเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) แมกนีเซียมออกไซด์ (magnesium oxide)

เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดดูแลผิวให้กระจ่างใส

สำหรับคนที่ต้องการเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวให้กระจ่างใส  อาจจะสงสัยว่าที่ข้างขวดมีการเขียนคำว่า  SPF50 บ้าง SPF30 บ้าง  หรือ PA++ หลายคนไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

SPF (Sun Protection Factor)  เป็นค่าคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UVB   โดยคำนวณจากระยะเวลาที่สัมผัสกับแสงแดดจนผิวแดงกับลักษณะผิวของแต่ละคน  ตัวเลขที่ต่อท้าย  เช่น  SPF 30 นั้น  ยิ่งมีค่าตัวเลขมาก  การปกป้องผิวจากรังสี UVB ก็ยิ่งมากด้วย

เช่น  สมมุติถ้าผิวของเรามีความต้านทานต่อแสงแดดได้ 30 นาที ก่อนที่จะเริ่มคล้ำ  หากเราใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30  จะเท่ากับเพิ่มเป็น  30 นาที x 30 = 900 นาที

อาจแสดงค่า SPF ของผลิตภัณฑ์กันแดดได้ดังนี้

ค่า SPF การป้องกันรังสี UVB
2 50%
4 75%
8 87.5%
15 93.3%
20 95%
30 96.7%
45 97.8%
60 98%

ส่วน  PA  (Protection Grade of UVA) เป็นค่าคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ส่วนเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้น  คือ  ค่าความสามารถในการปกป้องผิวโดยวัดเป็นจำนวนเท่าของการเกิดผิวคล้ำ  ยิ่งจำนวน + มาก  การปกป้องผิวจากรังสี UVA ก็ยิ่งมาก

PA+       =        มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA

PA++     =        มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง

PA+++   =        มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด


ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ผิวกระจ่างใสเมื่อจำเป็นต้องออกแดด

คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้ชีวิตโดยไม่สัมผัสกับแสงแดดเลย  ดังนั้นการปฏิบัติตัวให้เหมาะสมเพื่อออกแดดจะช่วยป้องกันผิวไม่ให้หมองคล้ำจึงเป็นเรื่องจำเป็น  ดังนี้

– ทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสมก่อนออกแดดเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากอันตรายของแสงแดด  และควรพกผลิตภัณฑ์กันแดดติดตัวไว้เสมอ  เพื่อเอาไว้ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง

– หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงถ้าสามารถทำได้ เช่น  พกร่มกันแดด  หรือสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด

– ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื่นตามธรรมชาติในผิว และอาจเสริมด้วยอาหารที่มีวิตามิน C สูง  เช่น  ผลไม้รสเปรี้ยว  เพราะวิตามิน C มีส่วนในการกระตุ้นให้ผิวกระจ่างใส  และมีสารต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

– หลังออกแดดอาจทาผิวด้วยผลิตภัณฑ์ After Sun เพื่อลดอาการระคายเคือง  แสบ  ผื่นแดงจากการสัมผัสแสงแดด  ฟื้นฟูสภาพผิวหลังการออกแดดได้ดี

เพียงเท่านี้ง่ายๆ  ก็จะช่วยให้ผิวของเรากระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ไม่ต้องกลัวแดดกันแล้วนะ


ที่มาของข้อมูล

  • แสงแดดกับผิวหนัง” นายแพทย์สิริ เชี่ยวชาญวิทย์  http://www.med.cmu.ac.th/etc/princefund/file/8.pdf
  • “แสงแดด…ดาบสองคมที่ควรรู้”   แพทย์หญิงณัฏฐา  รัชตะนาวิน  https://www.doctor.or.th/article/detail/1632
  • “ผลิตภัณฑ์กันแดดปกป้องผิวอย่างไร?” คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล  http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=38
  • ชุมชนผู้หญิงสุขภาพดี http://www.goodlywomen.com/